Interview...


Job Interview

หลังจากเราเลือกงานได้แน่นอนแล้ว ทีนี้ก็ถึงขั้นตอนการสัมภาษณ์งานล่ะ ซึ่งการสัมภาษณ์งานเนี่ยก็มีความยากง่ายตามระดับของงานแตกต่างกันไป เช่นงานที่เราเลือกเป็นงานประเภทไหน ต้องมีการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าที่โน่นมากน้อยเพียงใด อย่างเราเลือกงานฟาสฟู๊ด ซึ่งแ่น่นอนว่าต้องมีการพูดคุยกับลูกค้าอยู่แล้ว เพราะมันต้องได้ทำในส่วนของแคชเชียร์ รับออเดอร์ด้วย ก็ต้องมีความรู้ด้านภาษาพอพูดคุยกับคนที่โน่นได้ แต่ถ้าเป็นพวกงานแม่้บ้าน ทำความสะอาด หรืองานในโรงงานก็อาจจะไม่ต้องใช้ภาษาสื่อสารมากนัก ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวคนที่จะไปด้วยนะแหละ ว่าไปแล้วอยากได้ฝึกภาษาเพิ่มด้วยหรือปล่าว...?

ในส่วนของขั้นตอนการสัมภาษณ์งานก็ไม่ยาก บางรายก็โดนนายจ้างสัมภาษณ์ผ่านโปรแกรม Skype แต่งานเรานายจ้างจะบินมาัสัมภาษณ์เองเลย เราก็ต้องเตรียมเอกสาร เรซูเม่,จดหมายแนะนำตัว หรือเอกส่ารอื่นๆที่ทางเอเจนซี่จะบอกให้เตรียม แล้วก็เตรียมคำตอบคร่าวๆที่คิดว่าเขาจะถามไป เช่น แนะนำตัว(ก็บอกชื่อ สถานศึกษา สาขาที่เรียน งานอดิเรก บลา บลา บลา), ทำไมถึงเลือกงานนี้, งานหนักนะจะทำไหวหรอ, รู้อะไรเกี่ยวกับงานนี้บ้าง(เช่น ถ้าเลือกงานแมคโดนัลด์ อาจจะโดนถามว่า ชอบกินเมนูไหนของร้านแมคฯ เป็นต้น) อย่างของเรา นายจ้างเขาก็ถามโดยดูข้อมูลจากที่เรากรอกไปในเรซูเม่น่ะแหละ เราก็ตอบไปตามความจริง พยายามยิ้มแย้มแจ่มใส ทำตัวร่าเริง ทำให้บรรยากาศการสัมภาษณ์ดูสนุก เราก็จะได้ไม่เครียด (แต่ไม่ต้องสนุกมากเกินไปถึงขั้นขำเว่อร์เกินนะ ฝรั่งเขาอาจจะไม่ขำกับเราก็ได้) ...ถึงแม้ว่าที่จริงจะนั่งจิกมืออยู่กับเพื่อนข้างๆ ลุ้นแทบตายโว้ยยย...


Visa Interview 

เชื่อว่า ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่เกือบทุกคนที่ไป WAT (ย่อมาจาก Work and Travel) ครั้งแรก ต้องมีอาการจิตตก คลื่นไส้ เวียนหัว ตัวร้อน ทุรนทุราย...คล้ายจะเป็นลมแน่ๆ เพราะถ้าถามว่าสถานทูตไหนที่โหดและเคี่ยวเรื่องการออกวีซ่ามากที่้สุด สถานทูตอเมริกาก็มีชื่อติดอันดับท๊อปแน่นอน เพราะเราเองก็เกิดอาการจิตตกไปเป็นอาทิตย์ๆเหมือนกัน เพราะไปนั่งเสิร์ชกระทู้อ่าน คนที่ไปสัมภาษณ์มาก่อนหน้าเราก็ไม่ผ่านกันซะส่วนใหญ่ โดยเฉพาะพวกเด็กปี 4 อย่างเรา ซึ่งโอกาสผ่านจะยากกว่าเด็กปีอื่น เนื่องจากเราไปตอนเรียนจบแล้ว สถานทูตก็กลัวว่าเราจะโดดวีซ่า เพราะไม่ต้องกลับมาเรียนต่อ ทั้งนี้ทั้งนั้น เด็กปี 4 ก็ต้องเตรียมคำตอบให้ดี เวลากงศุลเขาถามว่า ถ้าจบโปรแกรมแล้วจะทำอะไรต่อ หรือ เรียนจบแล้วจะทำอะไรต่อ...? ซึ่งตรงนี้ก็เล่นเราเครียดซะจนน้ำตาตกเหมือนกัน เพราะคิดว่าโอกาสตอบก็มีอยู่แค่ครั้งเดียว แล้วเราจะไปรู้ได้ไงฟร๊ะ..ว่าคำตอบไหนมันจะโดนใจท่างกงศุลมากที่สุด..?? หลังจากนั่งเสิร์ชอ่านประสบการณ์คนโน้นคนนี้จนเครียดไปหมด เพื่อนสาวที่ไปด้วยก็บอกให้เลิกอ่าน เพราะเดี๋ยวจะเป็นบ้า ประสาทหลอนไปซะก่อน..... 

กระบวนการในการสัมภาษณ์วีซ่าของเรานั้น เริ่มจาก ทางเอเจนซี่จะทำการจัดการกับเอกสาร และรายละเอียดต่างๆในการสัมภาษณ์วีซ่าให้ พร้อมกับนัดวันสัมภาษณ์ให้ด้วย แต่ฟ้าดินก็ดันมากลั่นแกล้ง เพราะเพื่อนสาวของเราดันไปสัมภาษณ์วันเดียวกันกับเราไม่ได้ เพราะทางนายจ้างที่อเมริกาส่งรายละเอียดใน Job Offer มาผิด ต้องรอส่งมาใหม่ประมาณ 1 อาทิตย์ ซึ่งใกล้วันบินซะเหลือเกิน...

หลังจากเรารู้ว่าเราต้องลุยเดี่ยวไปสัมภาษณ์ก่อนคนเดียว ก็ยิ่งเพิ่มความตื่นเต้นทวีคูณ โดยเทคนิคของเราในการเตรียมตัวนั้น ก็คล้ายๆกับการสัมภาษณ์งานน่ะแหละ คือเดาคำถามที่คิดว่ากงศุลน่าจะถาม แล้วก็ซ้อมเตรียมคำตอบไว้ เวลาโดนถามจริงจะได้ตอบแบบฉิวๆ ซึ่งคำตอบที่เราเตรียมก็ต้องดูดีมีสาระขึ้นมานิดนึง ทำให้ดูมีที่มาที่ไป โดนเฉพาะอย่างยิ่ง คำถามที่เราคิดว่าโดนแน่ๆก็คือ "เรียนจบแล้วจะทำอะไร/กลับมาแล้วจะทำอะไรต่อ?" 

พอถึงวันสัมภาษณ์ด้วยความที่เราได้คิวช่วงเช้า ก็เลยรีบนั่งรถไฟใต้ดินไปลงสถานีลุมพินี พอโผล่ขึ้นมาก็เดินเข้าถนนวิทยุไป โดยที่ไม่รู้มาก่อนว่า ..แม่ง...โคตร...ไกล! จากสภาพสวยๆ ก็กลายเป็นกระเซอะกระเซิง ร้อนเหงื่อออกให้ชุ่ม พอเดินไปถึงยังต้่องไปยืนต่อคิวอยู่หน้าสถานทูตอีก คิวก็ยาวจนจะขึ้นสะพานลอยข้ามไปฝั่งตรงข้ามได้อยู่แล้ว ร้อนก็ร้อน ตื่นเต้นก็ตื่นเต้น ง่วงก็ง่วง ช่างเป็นวันมหาวิปโยคในชีวิตเสียจริง...... หลังจากรอสักพักใหญ่ๆ ก็ถึงคิวเราได้เดินเข้าไปในตัวสถานทูตสักที โดยด่านแรกจะเป็นด่านตรวจอาวุธ(ไม่ช่ายยย) จะมีเจ้าหน้าที่มาคอยบอกว่าให้ปิดโทรศัพท์มือถือ แล้วเอาออกมาใส่ถุงเล็กๆที่ทางเจ้าหน้าที่เตรียมไว้ให้ รวมทั้งที่ชาร์ตแบต หูฟัง สมอลล์ทอก แฟลชไดรฟ์ บลา บลา บลา เรียกได้ว่า เอาอุปกรณ์สื่อสารและอิเลคททรอนิคออกให้หมด หลังจากนั้นก็เดินไปหาสองสาวสวย ที่เป็นคนคอยคัดเอกสารรอบแรกให้ ทั้งสองสาวจะเอาเอกสารที่ไม่จำเป็นออก ซึ่งจากที่เตรียมมาเยอะแยะ ขั้นตอนนี้ก็จะคัดเหลืออันที่ใช้จริงๆไม่กี่อย่าง หลักๆเลยก็คือทรานสคริปกับใบรับรองสถานภาพการศึกษาน่ะแหละ แต่อย่างอื่นก็อย่าเพิ่งทิ้งนะ เผื่อกงศุลเขาเรียกดูแล้วไม่มีให้ดูจะซวยเอานะเออ.....

หลังจากนั้นก็รอคิวอยู่ที่ด้านนอกตรงที่คัดเอกสารน่ะแหละสักพักใหญ่ ก็มีเจ้าหน้าที่อีกคนมาเดินเรียกตามคิวให้เข้าไปในส่วนของห้องสัมภาษณ์ เผื่อไปนั่งรอ(อเกน)...ห้องสัมภาษณ์หรือห้องเชือดนี้ก็จะเป็นลักษณะห้องธรรมดา ไม่ใหญ่มาก มีที่นั่งให้รอเรียกไปสัมภาษณ์และเจ้าหน้าที่กงศุลที่คอยสัมภาษณ์จะยืนประจำการอยู่หลังเคาท์เตอร์ที่กั้นไว้เป็นช่องๆ โดยการพูดคุยก็จะพุดผ่านไมค์หน้าตู้เพราะ แต่ละช่องจะมีกระจกกั้นระหว่างเรากับกงศุล สงสัยจะกลัวว่า คนไหนวีซ่าไม่ผ่านแล้วเกิดคุ้มคลั้งทำร้ายเจ้าหน้าที่ได้ เหอะ เหอะ....... และมีช่องเล็กๆไว้สอดเอกสารเข้าไปให้กงศุลเท่านั้น ....

นั่งรออยู่ในห้องด้วยความกดดันอยู่ัสักครู่ เจ้าหน้าที่ก็ประกาศเรียกหมายเลข... ถึง หมายเลข .... ก็เดินไปต่อแถว ยื่นเอกสาร ตรวจลายนิ้วมือกับเจ้าหน้าที่คนไทยที่ช่องแรกก่อน จากนนั้นก็ไปยืนเข้าแถวเพื่อรอสัมภาษณ์กับกงศุลได้เลย โดยการสัมภาษณ์เราไม่สามารถเลือกได้นะค่ะว่าจะเจอกับกงศุลท่าไหน เพราะเขาจะให้ต่อแถวเป็นแถวเรียงหนึ่ง แล้วพอเคาท์เตอร์ของกงศุลท่าไหนว่าง เราก็ต้องเดินเข้าไปที่เคาท์เตอร์นั้นอย่างไม่สามารถอิดออดได้ ซึ่งตรงนี้คงต้องพกดวงมากันเอง เพราะเจาหน้าที่กงศุลบางคนก็โหดมากกสัมภาษณ์ไป 10 ผ่าน ไม่ถึงครึ่งก็มี หรือบางคนก็ใจดีเกิน ถามนิดๆหน่อยๆก็ให้ผ่านแล้ว (เพราะวีซ่าJ1ที่เราไปยื่นขอนั้นค่อนข้างเป็นวีซ่าที่ของ่ายที่สุดแล้วในบรรดาวีซ่าอเมริกา) ซึ่งวันที่เราไปสัมภาษณ์เจ๊โหดช่อง 6 ที่เป็นที่ร่ำลือกันชีก็นั่งหน้าบูดหน้าเบี้ยวอยู่ด้วย และก็เป็นอย่างที่ร่ำลือคือ ถ้าเด็กคนไหนภาษาไม่แน่นจริง เจ๊แกให้ตกหมด...! เราก็ได้แต่ยืนภาวนาว่าขอให้ได้ใครก็ได้ที่ไม่ใช่เจ๊นี่...สาธุ....

และแล้วคำอธิฐานของเราก็เป็นผล เพราะคนข้างหน้าเราได้เจ๊โหดพอดี ทำให้เราได้สัมภาษณ์กับเจ๊อ้วนคนนึงที่ดูใจดี๊ใจดี แล้วชีก็ใจดีจริงๆด้วย หน้าตายิ้มแย้ม คุยสนุกเป็นกันเองไม่เหมือนเจ้าหน้าที่ท่านอื่นเลย โดยคำถามที่เราโดนถามก็มี

ให้แนะนำตัว - ชื่อ นามสกุล สถานศึกษา สาขาที่เรียน
จะไปรัฐไหน - ตอบสั้นๆว่า แมสซาชูเซต
ทำงานอะไร - งานร้านอาหารฟาสฟู๊ดชื่อ เวนดี้ ที่โด่งดังเรื่อง แฮมเบอร์เกอร์รูปสี่เหลี่ยม (พยายามโ๙ว์ภูมิว่า ได้มีการศึกษาถึงข้อมูลคร่าวๆของนายจ้างและสถานที่ทำงาน)
อยากไปเที่ยวไหนในอเมริกา - The Statue of Liberty (ถ้าใครไม่ได้เตรียมคำถามนี้ไปก็เลือกที่ที่มันดังๆง่ายๆและเป็นที่รู้จักและควรใส่เหตุผลด้วยว่าเพราะอะไรถึงอยากไป) เพราะเคยเห็นในหนัง เลยอยากไปเห็นของจริงด้วยตาตัวเอง (ชีก็ยิ้มแล้วบอกว่า ให้ลองไปดูในเวปไซต์อะไรไม่รู้ จะมีให้จองเพื่อขึ้นไปชมวิวขนยอดมงกุฏของลิเบอร์ตี้ได้...โอ้ววซ)
เรียนจบแล้วจะทำอะไรต่อ - กลับมาทำงาน ที่โรงแรมXXX เพราะเคยไปฝึกงานอยู่ที่นั่นแล้วสนุกมาก ทุกคนใจดี อัธยาศัยก็ดี ก็เลยอยากกลับมาทำงานที่นั่น (อันนี้แล้วแต่คนจะตอบนะ บางคนก็บอกว่ากลับมาเรียนต่อก็ได้ เพียงแต่ให้เหตุผลมันดูน่าเชื่อถือว่าเราจะกลับมาจริงๆนะเออ....)
ใครเป็นสปอนเซอร์(คนจ่ายตัง) - ป้า เพราะ...บลา บลา บลา (ในกรณีที่สปอนเซอร์ไม่ใช่พ่อแม่อย่างเราก็ควรเตรียมคำตอบไปด้วยว่าทำไมพ่อแม่ถึงเป็นสปอนเซอร์ไม่ได้ แต่ของเราโชคดีที่ป้าเราไม่ได้แต่งงาน ก็เลยยังนามสกุลเดียวกันอยู่ ชีก็เลยไม่ได้ถามอะไรมาก)
สปอนเซอร์ทำงานอะไร - ทำงานธนาคาร... ตำแหน่ง ...
แล้วทำงานที่นั่นมากี่ปีแล้ว - ข้อนี้ขอยอมรับว่าเราไม่รู้ และไม่ได้เตรียมตัวมา ตอนฟังครั้งแรกก็ตกใจ แต่ก็พยายามตีหน้าเนียนและตอบไปด้วยความมั่นใจว่า 4 ปี เพราะคิดว่า ถ้าเราทำหน้ามั่นใจซะอย่างเขาคงไม่สงสัยอะไรหรอกมั้ง.....และก็จริงด้วยยยยยยย
โอเค ภาษาอังกฤษของคุณดีมากนะ เพราะฉะนั้นโชคดี เอนจอยยัวร์ทริปในอเมริกา  - Thank you very much, Thank you for your time (กรี๊ดดดดดดดดดดดด กรีดร้องอยู่ในใจ...)

จากนั้นก็วิ่งยิ้มแป้นออกมาซื้อซองจ่าหน้าถึงตัวเอง และก็กลับบ้านได้รอรับพาสปอร์ต ฮี่ ฮี่ (ตอนนั้นดูนาฬิกา เข้าสถานทูตไป 8 โมงเช้า ออกมาเกือบ 3 โมงเย็น ส่วนใหญ่หมดเวลาไปกับการรอ และ รอนะ สัมภาษณ์จริงๆไม่ถึง 5 นาทีเลย ฮือออออออออออออ)

ทริคแอนด์ทริป... ในการสัมภาษณ์วีซ่า ถ้าเจ้าหน้าที่กงศุลพูดเร็วไป ฟังไม่ทัน อย่าตกใจ...แล้วบอกให้เขาทวนอีกครั้ง "Again please,Pardon me, please repeat that again, I'm sorry I don't understand" ท่องให้ติดปากเข้าไว้นะจ๊ะ

เวลาเจ้าหน้าที่กงศุลถามคำถาม ควรตอบให้สั้น กระชับ ใจความตรงตามประเด็นที่ถาม เช่น Where will you stay in US? ก็ตอบชื่อรัฐที่จะไปสั้นๆ หรือชื่อรัฐและเมือง Massachusett,Orleans อย่าไปพาลากข้ามทะเล เช่น ไปพล่ามว่า จริงๆแล้วอยากไปรัฐฟลอริด้ามากกว่า แต่ค่าใช้จ่ายแพง จึงเลือกไปแคลิฟลอเนีย เพราะถูกกว่า บลา บลา บลา...

สุดท้าย อันนี้สำคัญมาก เวลาเจ้าหน้าที่กงศุลถามอะไรให้...ให้ตอบตามความจริง!! อย่าโกหก เพราะถ้าโกหก แล้วไม่เนียน หรือให้ข้อมูลผิดๆมั่วๆที่เราไม่รู้ โดนปฏิเสธวีซ่าแน่นอนนะจ๊ะ...เพราะฉะนั้นพูดความจริงไว้ก่อนดีกว่า จะได้ไม่ต้องมานั่งจำ นั่งเตรียมคำตอบให้วุ่นวาย.......

เอาเป็นว่า สำหรับน้องๆ WAT ที่จะไปสัมภาษณ์วีซ่าในรุ่นต่อๆไป ขอให้โชคดีมีชัยกันทุกๆคนนะจ๊ะ.....

Comments

Popular Posts